วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เซน วันนี้

เซนคือวิธีแห่งการรู้แจ้งอันสมบูรณ์ ใครก็ตามที่ได้ปฏิบัติเซน ย่อมสามารถเข้าถึง การรู้อย่างฉับพลัน และใช้ชีวิตใหม่ในสถานะแห่งพุทธะ
เซนอยู่ในชีวิตประจำวันนั่นเอง เป็นชีวิตตามธรรมดาๆ แต่ก็ไม่ใช่ธรรมดาตามธรรมดาที่เราเข้าใจกันอยู่โดยปกติทั่วไป
ที่จริงเซนนั้นก็เหมือนกับการตื่นนอน ล้างหน้า แปรงฟัน กินอาหาร อาบน้ำ ล้างถ้วย ล้างชาม อันเป็นกิจวัตรสามัญประจำวันของคนเรา ดำเนินไปตามครรลองที่มันควรจะเป็นเท่านั้นเอง
วิธีการปลุกเร้ากายใจให้สดชื่นนั้น คือ ถึงเวลาหิวก็กินข้าว ถึงเวลาอ่อนเพลียก็นอน ซึ่งเป็นท่วงทำนองของธรรมชาติ ที่ตัวตนจะดำรงอยู่ ณ ที่นี้อย่างแท้จริงอยู่เสมอ
จงใช้ชีวิตอยู่กับเหตุ ทิ้งผลไว้ให้แก่กฎอันยิ่งใหญ่ของจักรวาล
จุดมุ่งหมายของเซน คือการทำให้เราตระหนักว่าไม่มีตัวตน
ใช้ชีวิตอยู่ในโลก แต่อย่าให้ฝุ่นของโลกเกาะติดได้ เหมือนดอกบัวเกิดในโคลนตม แต่ไม่ติดโคลนตมฉันนั้น
ชีวิตนี้แสนสั้น เราย่อมไม่อาจที่จะใช้ชีวิตที่มีเวลาอยู่นี้ ไปในการขบคิดใคร่ครวญเรื่องทางอภิปรัชญา อย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะอภิปรัชญาไม่อาจนำไปสู่สัจจะอันยิ่งใหญ่ได้เลย
ชีวิตของเราจะสูญเปล่าไป หากเราหลีกหนีการใช้ชีวิตตามความจริง เมื่อไปอยู่ในโลกแห่งความคิดอันล้ำลึกแล้ว เราก็จะเป็นเพียงวิญญาณพเนจร หากยังวุ่นวายอยู่ด้วยความคิดว่ามีหรือไม่มี ชีวิตก็จะสูญเปล่าไปเสีย
ให้ดูทุกข์ และความไม่มีทุกข์ ที่มีอยู่ในใจ จึงจะเข้าถึงธรรมที่ปราศจากทุกข์ได้
ปาฏิหาริย์ที่แท้ อยู่ในชีวิตประจำวันธรรมดาๆ นี่เอง ให้กิจวัตรประจำวันดำเนินไปตามครรลองของมันอย่างเป็นธรรมชาติ ชีวิตคุณมีอยู่เพียงขณะเดียว อดีตก็ละไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ก็แต่ในขณะปัจจุบันเท่านั้น
เดี๋ยวนี้ คือสิ่งที่เรา เป็น มันไม่สามารถจะเป็น เป้าหมาย หรือ ภาวะ ที่เราจะต้อง มุ่ง ไปให้ถึง เดี๋ยวนี้ คือการกระทำ หรือ ความเคลื่อนไหว ซึ่งปรากฏอยู่ในขณะนี้ ก่อนที่ ความคิด จะปิดบังมันไว้เสีย
ถ้าเราพบความผิดในบุคคลอื่น เราเองก็ตกอยู่ในความผิดนั้นด้วยเหมือนกัน เมื่อผู้อื่นทำผิด เราไม่จำเป็นต้องเอาใจใส่ เพราะมันจะเกิดความผิดขึ้นแก่เราเอง ในการที่จะไปรื้อหาความผิด
ทุกๆ ครั้งที่มีการเตือนตนเองให้ถ่อมตน อัตตาของตนก็จะขยายทั้งแง่ขอบเขตและกำลัง ความถ่อมตนที่แท้จะเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้นึกถึงความถ่อมตน วิปัสสนานั้นไม่ใช่การให้ความสำคัญแก่ตนเอง หรือการปฏิเสธละทิ้งตนเอง
มันจะมีประโยชน์อะไร ที่จะมานั่งอภิปรายกันว่า ต้นหญ้าและต้นไม้ตรัสรู้ได้อย่างไร ปัญหามันอยู่ที่ว่า ตัวท่านเองนั่นแหละ จะสามารถบรรลุถึงการตรัสรู้ได้อย่างไร
ยึดมั่นคราใดเป็นทุกข์ครานั้น การปฏิบัติทุกอย่างต้องมาลงที่ความไม่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดหรือเรื่องใดที่ปฏิบัติแล้ว ยิ่งทำให้เกิดยึดมั่นถือมั่นมากยิ่งขึ้น ถือว่าผิดแล้ว
การตรัสรู้ธรรมหรือไม่ หาได้อยู่ที่การปฏิบัติเข้มงวด หรือเคร่งครัดเป็นเวลานานไม่ แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ต่างหาก
ระหว่าง รู้ กับ ทำ นั้นช่างห่างไกลกันเสียเหลือเกิน

คำของปรมาจารย์รุ่นแรกสุดของเซ็น มีอยู่ 4 ประโยค
1. พ้นจากการบัญญัติ
2. เข้าถึงไม่ได้ด้วยการเรียนตามตำรา
3. ลัดตรงเข้าสู่ใจ
4. มองดู (รู้) พุทธะก็เกิด
ฮวงโป

...............
ไม่มีอะไรจะต้องลุถึง เพียงแต่ลืมตาตื่นเท่านั้นสิ่งๆ นั้นก็จะปรากฏแก่เธอ
(การลืมตาตื่นเพื่อเห็นสิ่งที่เต็มบริบูรณ์อยู่แล้วตรงหน้านั้น ไม่ได้หมายถึงการเริ่มลอกกิเลสเป็นชั้นๆ จนลอกหมดแล้วจึงตื่น แต่จิตนั้นเอง คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทันทีที่มีสติสัมปชัญญะ ไม่หลง ไม่เผลอ จิตปราศจากการครองคลุมของโมหะ เมื่อนั้นคือการตื่น หรือการรู้ ที่เราพูดถึงกันบ่อยๆ นั่นเอง
จิตที่ปราศจากโมหะ มีความรู้ตัว จะเห็นประจักษ์ธรรมต่อหน้าต่อตา เริ่มจากธรรมในฝ่ายที่เกิดดับ หรือสังขตธรรม จนปัญญาแก่รอบ สามารถปล่อยวางธรรมในฝ่ายที่เกิดดับได้ ก็จะเข้าไปรู้จักธรรมในฝ่ายที่ไม่เกิดไม่ดับ
ดังนั้น ทันทีที่รู้ ก็คือทันทีที่ตื่น พ้นจากภาวะหลับฝันทั้งที่ลืมตา และทันทีที่ตื่น จิตก็ถึงความเบิกบาน อันเป็นคุณสมบัติของจิตเอง ไม่ใช่รู้แล้วลอกกิเลสเป็นชั้นๆ ไปจนหมด จึงตื่น
จิตรู้ หรือจิตตื่น มีความเบิกบานในตัวเอง ปลอดภัยอยู่ท่ามกลางความแปรปรวนและไฟกิเลส เหมือนลิ้นงู ในปากงู เหมือนดอกบัว ที่ไม่เปื้อนด้วยโคลนตม)

คนพาล ย่อมหลีกเลี่ยงปรากฏการณ์ภายนอก แต่ไม่หลีกเลี่ยงความคิดปรุงแต่ง คนฉลาดย่อมหลีกเลี่ยงความคิดปรุงแต่ง แต่ไม่หลีกเลี่ยงปรากฏการณ์ภายนอก
ท่านฮวงโป เดินเข้าไปในหอพระ เห็นรินไซ (หลินจิ) กำลังนั่งสัปหงกอยู่ ท่านฮวงโปเลยเอาไม้เท้าไปกระทุ้งพื้น พอรินไซเห็นก็แกล้งทำเป็นหลับต่อ พระอีกองค์นึงนั่งอยู่ใกล้ๆแต่ไม่สัปหงกกลับโดนท่านฮวงโปดุเอาว่า เอาแต่นั่งฟุ้งซ่านอยู่ได้ แล้วฮวงโปก็หันไปชมรินไซที่กำลังสัปหงกอยู่ว่า ปฏิบัติดี
รินไซ

...............
เหมือนคนคิดว่าหัวของตัวเองหาย เมื่อเขาหยุดมองหาหัวของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาพบว่าไม่มีสิ่งใดต้องค้นหา

ก็รินไซนี่แหละครับ ที่ไปหาฮวงโปแล้วโดนกระบองตี เรื่องนี้ที่ผมเคยถามหลวงอา เพราะอ่านแล้วไม่เข้าใจเลย ท่านว่าธรรมะไปถามคนอื่นได้ไง หาได้ที่ตัวเอง
ตอนหลังท่านฮวงโปก็มอบให้รินไซสืบทอดคำ สอนต่อ ท่านฮวงโปให้คนใช้ไปเอาตราประทับที่ได้จากอาจารย์ไปจ้างมาให้รินไซ (ตราประทับที่แสดงว่าท่านผู้นั้นสมควรได้รับการสืบทอดคำสอนไปยังรุ่นต่อไป สืบทอดกันมาเป็นรุ่นๆ พอฮวงโปสั่งคนใช้ให้ไปเอามา ท่านรินไซก็บอกให้คนใช้เอาไฟมาเผาด้วย
โพธิธรรม

...........
อะไรเกิดขึ้นที่จิตก็ให้รู้ไป ไม่ต้องไปแบ่งแยกให้ค่าว่า อันนี้ถูก อันนี้ผิด ถ้าหลุดพ้นจากการให้ค่าพวกนี้ได้ ก็จะเข้าใจจิตได้ครับ
เค็งเซ็น

..........
สิ่งที่ตาเธอเห็นอยู่นั่นแหละคือความจริง (ปรมัตถ์) ธรรมทั้งปวงก็คือปรมัตถ์ เธอจะต้องหาอะไรอีกเล่า
จ้าวโจ

............
บางที ก็มีพระมาถามว่า 'ผมถึงจุดที่ไม่ยึดถืออะไรแล้ว ผมจะต้องทำอย่างไรครับ' ท่านก็ตอบว่า 'ก็ทิ้งมันไว้ตรงนั้นสิ'

มีพระมาถามว่า 'ถ้าบรรลุถึงนิพพานแล้ว จิตจะเป็นยังไงครับ' ท่านอาจารย์บอกว่า 'ทำให้ถึงตรงนั้นก่อน แล้วฉันจะตามไปบอก'
พระองคนึงถามอาจารย์จ้าวโจว่า 'ที่เมืองจีนใครเป็นอาจารย์องค์แรกครับ' ท่านจ้าวโจว่า 'ท่านโพธิธรรม' 'แล้วท่านอาจารย์เป็นอาจารย์อยู่ในลำดับที่เท่าไรครับ' 'ฉันอยู่นอกลำดับ' 'อยู่นอกลำดับแล้วตกลงอยู่ไหนครับ' 'อยู่ในหูเธอ'
เข้าใจว่า พระองค์นั้นโดนดุเรื่องถามอยู่นั่นแหละ ก็พูดให้ฟังอยู่นี่แล้วยังไปสงสัยอะไรมากมาย คืออาจารย์องค์นี้ท่านมักจะใช้คำพูดให้ศิษย์หลุดออกมาจากความสงสัย อ่านดูศิษย์ท่านแต่ละคนช่างซักช่างถามเสียเหลือเกิน
โจซู

.............
มีพระรูปหนึ่งไปถามท่านโจชูว่า ตัวเองปฏิบัติแบบนี้แล้วถูกรึเปล่า ท่านโจชูบอกว่าเริ่มปฏิบัติได้ก็ดีแล้วนี่ (ท่านไม่ตอบว่าถูกหรือผิดเลย) คำสอนพระท่านส่วนใหญ่จะเน้นให้ลูกศิษย์ละวางการให้ค่าสิ่งต่างๆ ที่เป็นคู่ๆ ว่า นี่ดี นี่ไม่ดี นี่ก้าวหน้า นี่ถอยหลัง อะไรทำนองนี้
Zen in the Martial Arts

............
สติที่เป็นสติสัมโพชฌงค์ ก็คือสติที่มีเองทุกขณะ โดยไม่ต้องออกแรงตั้งใจให้มีสติ และมีอยู่เองโดยไม่มีความต้องการที่จะให้มีสติ เพราะเห็นว่าสตินั้นมีประโยชน์

 วันทิพย์

........
การบรรลุธรรม หมายความอย่างง่ายๆ ถึงการตระหนักในความกลมกลืนกัน อันไม่อาจแบ่งแยกออกได้ในชีวิตประจำวัน ความรู้อันแท้จริงแล้วต้องผ่านประสบการณ์ตรง เราจะอธิบายรสน้ำตาลได้อย่างไร การบรรยายด้วยวาจาไม่อาจให้ความรู้สึกได้ การจะรู้รส ต้องมีประสบการณ์กับมัน ปรัชญาของศิลปแขนงนี้ ไม่ใช่ว่าจะครุ่นคิดออกมาได้เอง จะต้องมีประสบการณ์ ดังนั้น จึงช่วยไม่ได้ที่ถ้อยคำเป็นเพียงการนำความหมายไปได้บางส่วนเท่านั้น
Joe Hyams

.............
รู้จักคนอื่นเป็นความฉลาด รู้จักตนเองเป็นการตรัสรู้

 เล่าจื๊อ

.............
เมื่อคุณแสวงหา คุณไม่อาจพบมัน
บททายของเซน

...............
ต้องเรียนรู้วิธีดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่อดีตหรืออนาคต เซนสอนว่า ชีวิตต้องยึดขณะปัจจุบัน โดยการอยู่กับปัจจุบัน คุณต้องสัมพันธ์กับตนเอง และสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ ต้องไม่ทำให้พลังของคุณกระจายไป ต้องพร้อมเสมอในปัจจุบัน ไม่มีความเสียใจต่ออดีต โดยการคิดถึงแต่อนาคต ก็ทำให้ปัจจุบันเบาบางลง เวลาที่จะดำรงอยู่คือ "เดี๋ยวนี้"
อาจารย์หาน

...........
ล่องลอยไปตามกระแส ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงปล่อยให้จิตใจเป็นอิสระอยู่ ด้วยความเป็นกลาง ด้วยการรับรู้สิ่งที่กระทำอยู่นั้น นี่เป็นสิ่งสูงสุด
จวงจือ

.........
จิตใจไม่ควรอยู่ที่ใดเป็นการเฉพาะ
ต้ากวน

............
เวลาทำอะไร ทำให้ดี ขอให้ทำให้ไม่มีที่ติ ทำให้สุดความสามารถของคุณ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญที่สุดด้านศิลปการต่อสู้ จะใช้เวลาหลายปีเรียนรู้เทคนิค และการเคลื่อนไหว นับร้อยท่าจนชำนาญ แต่ในยกหนึ่งๆ แชมป์จะใช้เทคนิคสี่หรือห้าอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก เทคนิคเหล่านี้ เป็นเทคนิคที่เขาทำได้ดีเลิศ ไม่มีที่ติ ทั้งเขารู้ว่า เขาพึ่งเทคนิคเหล่านั้นได้
หยุดเปรียบเทียบตัวเองตอนสี่สิบห้ากับ ยี่สิบหรือสามสิบ อดีตเป็นมายา คุณต้องเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน และยอมรับว่า ตัวเองเป็นอะไรตอนนี้ สิ่งที่คุณขาด คือความยืดหยุ่น กับความปราดเปรียว ที่คุณต้องสร้างเสริมขึ้นมาด้วยความรู้ และการฝึกหัดอย่างคงเส้นคงวา
บรุซ ลี 

.......................
บทความจาก
http://www.wimutti.net/niranam/zen.html

เซน -บางมิติ

เซน (ญี่ปุ่น: 禅, ぜん) หรือ นิกายเซน เป็นชื่อญี่ปุ่นของคำว่า ฉาน (จีน: 禅, Chán) ในภาษาจีน ที่มาจากภาษาบาลีอีกต่อหนึ่ง ซึ่งหมายถึง ฌาน หรือ การเข้าฌานของพุทธศาสนา
เซน มีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดีย พัฒนาที่ประเทศจีน ก่อนที่จะถูกเผยแพร่มาสู่เกาหลีและเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น โดยได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า ในช่วงระหว่างที่เผยแผ่มาสู่ญี่ปุ่น การฝึกตนของนิกายเซน เน้นที่การนั่งสมาธิเพื่อการรู้แจ้ง
ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 นอกจาศาสนาพุทธนิกายเซน เซนยังได้เป็นปรัชญาในการดำรงชีวิต และรู้จักกันทั่วโลก โดยแสดงถึงแนวทางการใช้ชีวิต การทำงาน และศิลปะ
เซนเป็นสาขาหนึ่งของพุทธศาสนา นิกายมหายาน ซึ่งยึดถือหลักปฏิบัติธรรมตามหลักของพระพุทธเจ้า ตามหลักของอริยสัจ 4 และ มรรค 8 เซน ได้รับการยอมรับจากบุคคลที่ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลนอก ทวีปเอเชีย ที่สนใจในเซนสามารถศึกษาและปฏิบัติธรรมได้ และได้เกิดนิกายสายย่อยออกมาที่เรียกว่าคริสเตียนเซน

ลำดับพระสังฆปรินายกฝ่ายเซน

พระอริยสงฆ์สาวกผู้ซึ่งได้รับการถ่ายทอดชี้ธรรม ด้วยวิถีแห่ง "จิต สู่ จิต" แต่ละรุ่นๆ จะได้รับมอบ บาตร จีวร สังฆาฏิ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัญญลักษณ์สำคัญของตำแหน่ง
釋迦牟尼佛 พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า
การถ่ายทอดธรรมดังกล่าวมีพระอริยเจ้าแต่ละสมัยรับช่วงสืบทอดกันลงมาโดยลำดับดังนี้
  1. 初祖訶迦葉尊者 พระมหากัสสปเถระ
  2. 二祖阿難陀尊者 พระอานนท์เถระ
  3. 三祖商那和修尊者 พระสันนวสะเถระ
  4. 四祖優婆□多尊者 พระอุปคุปด์เถระ
  5. 五祖提多迦尊者 พระธริตกเถระ
  6. 六祖彌遮迦尊者 พระมัจฉกะ
  7. 七祖婆須密尊者 พระวสุมิตรเถระ
  8. 八祖佛陀難提尊者 พระพุทธนันทิเถระ
  9. 九祖伏馱密多尊者 พระพุทธมิตรเถระ
  10. 十祖脅尊者 พระปารศวะเถระ
  11. 十一祖富那夜奢尊者 พระปุณยยศัสเถระ
  12. 十二祖馬鳴大士 พระอัศวโฆษ มหาโพธิสัตว์
  13. 十三祖迦毗摩羅尊者 พระกบิลเถระ
  14. 十四祖龍樹尊者 พระนาคารชุน มหาโพธิสัตว์
  15. 十五祖迦那提婆尊者 พระคุณเทวเถระ
  16. 十六祖羅侯羅多尊者 พระราหุลตเถระ
  17. 十七祖僧伽難提尊者 พระสังฆนันทิเถระ
  18. 十八祖伽耶舍多尊者 พระสังฆยศัสเถระ
  19. 十九祖鳩摩羅多尊者 พระกุมารตเถระ
  20. 二十祖闍夜多尊者 พระชยเถระ
  21. 二十一祖婆修盤頭尊者 พระวสุพันธุเถระ
  22. 二十二祖摩拏羅尊者 พระมนูรเถระ
  23. 二十三祖鶴勒那尊者 พระฮักเลนยศัสเถระ
  24. 二十四祖師子尊者 พระสินหเถระ
  25. 二十五祖婆舍斯多尊者 พระวสิอสิตเถระ
  26. 二十六祖不如密多尊者 พระปุณยมิตรเถระ
  27. 二十七祖般若多羅尊者 พระปรัชญาตาระ
  28. 二十八祖菩提達磨大師 พระโพธิธรรม
โดย ลำดับที่ 28 (สายชมพูทวีป) คือพระโพธิธรรม เมื่อท่านเดินทางเผยแพร่พุทธศาสนาเข้าสู่จีน ที่นี่เองการอ่านชื่อออกเสียงว่า "โพธิธรรม" หรือ "โบ-ตะ-มะ" ที่คนไทยรู้จักกันในนาม "ตั๊กม้อ" ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งวัดเส้าหลิน นับเป็นพระสังฆปรินายกฝ่ายเซนองค์แรกในจีน ต่อมาเมื่อสืบทอดพระสังฆปรินายกองค์ที่ 3 (ฝ่ายจีน) จึงได้เผยแพร่เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น
วัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นที่ชาวต่างชาติรู้จักกันดี ได้แฝงเอาพุทธปรัชญา แบบเซนไว้อย่างแนบแน่น เช่น พิธีชงชา อิเคบานะ(การจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น) วิถีซามุไร คิวโด(การยิงธนูแบบญี่ปุ่น) แม้แต่แนวทางการเล่นโกะหรือหมากล้อมแบบญี่ปุ่น เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

๒๑ สิ่งที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

๒๑ วิธีที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

1. ใช้ ๓ กล่องเพื่อจัดการสิ่งต่างๆ เสมอ  -ทิ้ง  บริจาค เก็บ
2. กำหนดเวลา ที่ใช้สมาธิ  8-10 a.m.
3. ทำ short-list.ในสิ่งที่คุณชอบมากที่สุด 4-5 อย่าง (เขียนหนังสือ - อ่าน- วิ่ง -ใช้ชีวิตกับครอบครัว) กำจัดสิ่งที่ไม่อยู่ใน  short list,
4. ไม่รับคำเชิญหรือคำร้องขอทั้งหมดใน ๑ สัปดาห์ เลื่อนไปวันอื่นบ้าง
5. มีตารางงานน้อยที่สุด  (ปฏิเสธนัด -หรือเลื่อนนัดเป็นวันอื่น พยายามทำวันให้ว่างที่สุด )
6. ทำงานครั้งละ ๑ อย่างเท่านั้น
7. เริ่มวันใหม่ด้วยตวามสงบ (วิ่ง เดิน ทำสมาธิ)
8. กินเพียง ๗ อย่าง  -ไม่กินอาหารสำเร็จรูป  -กินเพียงแค่ ๗ อย่าง คือ ผลไม้ ผัก  whole grains, lean protein, lean calcium, ถั่วเหลือง ถั่ว  ทำอาหารกินเองแต่อย่าให้ยุ่งยาก
9. ไม่ใช้กระดาษ  -ประหยัดการจัดเก็บ - การค้นหา -ประหยัดพื้นที่ -ทำให้งานสำนักงานง่ายขึ้น -รักษาต้นไม้  วิธีการ (๑) ยืนยันว่า ทุกอย่างจะต้องส่งมาทาง email หรือทางอิเลก็ทรอนิกส์  สร้างระบบการจัดเก็บเอกสาร   เอกสารให้ scan เก็บไว้  (แต่ให้น้อยที่สุด )
10. ไม่เป็นทาสสื่อ (cable TV, DVDs, newspapers and magazines, Internet news and the like)
11. จำกัดทำงานเพียง ๓ อย่างต่อวันก่อนงานอื่น (งานสำคัญ เร่งด่วน ที่มีผลต่อชีวิตอย่างสำคัญ)
12. จำกัดทำงานเพียงโครงการเดียวต่อครั้ง
13. หลัก ๕  -emails ส่ง ๕ ฉบับต่อวัน  -เลือกเฉพาะที่สำคัญ ที่เหลือลบทิ้ง -ไม่จำต้องตอบทั้งหมด -ตอบครั้งละไม่เกิน ๕ บรรทัด (ทำให้  emails สั้น ตรงประเด็น )
14. กฎ ๓๐ วัน  - อยากได้อะไร  จะต้องจดเขียนไว้ในรายการก่อน ๓๐ วัน  หลังจาก ๓๐ วัน ถ้ายังต้องการ  ถึงจะซื้อ  (แต่ไม่รวมสิ่งที่จำเป็น) 
15. ใส่เสื้อผ้าในโทนสีไม่กี่สี (ดำ น้ำเงิน เทา เขียว น้ำตาล)
16. เข้า ๑ ออก ๒ -เอาของเข้าบ้าน ๑ ต้องเอาออก ๒
17. อาทิตย์หนึ่งทำงานเพียง ๔ วัน  ๖-๘ ชั่วโมงต่อวัน  
18. เกษียนแต่เนิ่นๆ  
19. เก็บของให้น้อย -จำกัดพื้นที่เก็บของ  ใช้โต๊ะทำงานที่ไม่มีลิ้นชัก
20. จำกัด information ที่เข้ามา

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ออม

๐ การจัดสรรเงินส่วนหนึ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเอาไว้ใช้ในอนาคต ๐22 เคล็ดลับของนักออมทั่วโลก 1.จ่ายให้ตัวเองก่อนเสมอ - ไม่ยุ่งกับบัญชีนี้เด็ดขาด -ถ้าจำเป็น ให้ถือว่ากำลังกู้เงิน เวลาคืนต้องคืนทั้งต้นทั้งดอก 2.เก็บเหรียญทั้งหลายลงกระปุก เปิดอีกบัญชีสำหรับเงินหยอดกระปุก 3.เก็บเงินคืนที่ได้รับจากเรื่องต่างๆ เข้าบัญชีธนาคาร เงินรับที่เป็นเบี้ยหัวแตก เช่น เงินคืนตามโปรโมชันการซื้อสินค้า เงินคืนเบี้ยประกัน รายได้เบี้ยใบ้รายทางต่างๆ ให้รวมเป็นบัญชีเดียว แล้วทำบัญชีไว้ 4.จ่ายเงินค่างวดผ่อนต่างๆ เข้าบัญชีตัวเอง (แม้เมื่อผ่อนค่างวดนั้นหมดแล้ว) ด้วยเงินจำนวนเท่าเดิม แต่จ่ายเข้าบัญชีเงินออมของคุณเอง ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขว่าคุณไม่มีภาระผ่อนอะไรใหม่ๆ เข้ามาอีก 5.หยุดนิสัยฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย รายจ่ายฟุ่มเฟือยต่างๆ ตัดทิ้งให้หมด 6.เพิ่มผลตอบแทนการลงทุน ไม่ควรยอมรับผลตอบแทนดอกเบี้ยต่ำ 7.เป็นสมาชิกสหกรณ์ 8.ซื้อพันธบัตรรัฐบาล 9.ใช้ประโยชน์จากการโอนเงินบัญชีธนาคาร เมื่อเงินถูกนำฝากเข้าในบัญชีของคุณแล้ว คุณควรให้มันอยู่ในบัญชีธนาคารให้นานที่สุด 10.เข้าร่วมแผนออมเงินของบริษัท 11.ใช้การเสียภาษีให้เป็นประโยชน์ เรียนรู้เรื่องภาษี ประโยชน์ที่คุณไม่ควรเสียและประโยชน์ที่คุณควรได้ (ลดหย่อน) 12.เข้าโครงการออมเงินที่น่าสนใจ เปิดหูเปิดตาให้กว้าง อาจมีโปรแกรมออมที่นึกไม่ถึง 13.ส้มหล่น อย่าเพิ่งกินหมดในคราวเดียว เงิน ก้อนใหญ่ไม่มาบ่อยครั้ง เช่น มรดก รางวัลเกมโชว์ ลอตเตอรี่ เงินปันผลกองทุน ฯลฯ เงินก้อนนี้ควรนำไปใช้ในการออมหรือลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ 14.รัดเข็ดขัดชั่วคราว อยากได้อะไรมากๆ ลองรัดเข็มขัดในช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่น 2-3 เดือน เพื่อออมเงินให้มากกว่าปกติ เก็บเงินได้เท่าราคาของแล้วจึงค่อยกลับสู่การดำเนินชีวิตปกติ 15.ฝากเงินเข้าบัญชีส่วนบุคคลเพื่อการเกษียณอายุสัปดาห์ละครั้ง 16.ให้นำเงินเดือนส่วนเพิ่มไปฝาก ถ้า รับเงินเป็นรายสัปดาห์หรือราย 2 สัปดาห์ อาจเป็นได้ว่าบางเดือนคุณจะได้รับเงินมากครั้งกว่าปกติ เช่น ถ้าได้รับเงินเป็นรายสัปดาห์ จะมี 4 เดือนที่ได้รับเงินมากครั้งกว่าปกติ หรือถ้าได้รับเงินเป็นราย 2 สัปดาห์ จะมี 3 เดือนที่คุณได้เงินเดือน 3 ครั้ง ครั้งที่เกินมาให้นำไปเข้าบัญชีเงินออม (ทันที) 17.เก็บเงินเบิกรายการต่างๆ ส่วนที่เกินจากรายจ่ายจริงเข้าบัญชีเงินออม ค่าเดินทางหรือรายจ่ายอื่นที่เบิกบริษัทได้ ควรเก็บส่วนเกินจากรายจ่ายจริงไว้ หรือคุณอาจได้ค่าล่วงเวลา ควรเก็บเงินส่วนนี้มาออมเช่นกัน เช่น ได้ค่าล่วงเวลาเดือนละ 2,000 บาท ถึงสิ้นปีจะมีเงินก้อน 2.4 หมื่นบาท สามารถนำมาใช้จ่ายในกรณีพิเศษโดยไม่ต้องไปถอนเงินออมหลัก 18.ยืมมาออม บางคนประสบความสำเร็จในการกู้เงินธนาคาร แล้วนำกลับไปฝากในบัญชีเงินออมของตนเองอีกทีหนึ่ง วิธีนี้ใช้ได้ผลกับคนที่กำลังมีค่าหักลดหย่อน (เช่น กู้ซื้อบ้าน) และใช้ได้กับช่วงเวลาที่ดอกฝากมากกว่าดอกกู้ (หลังภาษี) เท่านั้น ง 19.นำเงินปันผลและดอกเบี้ยไปต่อเงินโดยอัตโนมัติ นำฝากหรือลงทุนต่อได้อัตโนมัติ 20.ทิ้งเงินไว้ในบัญชีกระแสรายวันให้น้อยที่สุด ให้โอนไปยังบัญชีเงินฝากที่มีดอกเบี้ยหรือโอนไปลงทุนใน ผลิตภัณฑ์การเงินที่มีดอกเบี้ยดีสุดในเวลานั้น 21.ใช้ประโยชน์จาก Float (ความ หมายของ Float คือระยะช่วงที่ ผู้ถือเช็คได้รับเช็คไปจนกระทั่งถึงตอนที่ได้รับเงินสั่งจ่าย ตามเช็ค กล่าวคือ ช่วงที่ยังไม่ได้ถูกตัดบัญชีก็ควรแช่เงินไว้ในบัญชีเงินฝากให้นาน เท่าที่จะนานได้ ก่อนจะโอนไปเข้าบัญชีกระแสรายวันเพื่อตัดจ่ายเช็ค)22.จ่ายหนี้ให้หมด

เพาะกาย

๐ โปรแกรมฟิตร่างกาย – ออกกำลังตามโปรแกรมสัปดาห์ละ 6 วัน - แต่ละวันบริหารกล้ามเนื้อที่แตกต่างกันไป – บริหารหัวใจ ด้วยการวิ่ง ว่ายน้ำและขี่จักรยาน – ยกน้ำหนัก ทำวันเว้นวัน วอร์มอัพ 10 นาที ยกน้ำหนัก 1 ชม. เหยียดร่างกายเพื่อคูลดาวน์ - เพาะกล้าม 3 ท่า 1. decline Press-up วิดพื้นแบบไหล่ต่ำ นอนคว่ำหน้าใช้มือยันพื้น พักเท้าไว้บนม้านั่ง ไหล่ต่ำกว่าเท้า งอข้อศอกลงจนจมูกแตะพื้น ยึดตัวสู่ตำแหน่งเดิม 2.Shoulder Press

บุคลิก

รอยอินทร์
๐ใช้ชีวิตให้เรียบง่าย สะอาด สงบ


ผู้นำ
๐ ผู้ที่แก้ปัญหาให้องค์กร วันใดที่ลูกน้องไม่ได้เอาปัญหามาให้แก้ อาจเป็นเพราะลูกน้องไม่เชื่อถือคุณหรือเห็นว่าคุณไม่แคร์กับปัญหา วันนั้นถือว่า คุณล้มเหลว ไร้ภาวะผู้นำ


พระอินทร์
๐ผู้เป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า -พึ่งพาได้ -มีคุณธรรมประจำใจ – คงไว้ซึ่งสัจจะ – ละความโกรธ - ๐ พระอินทร์ คือ เทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กายสีเขียว มีพระเนตรถึงพันดวง ใช้วัชระ(สายฟ้า) เป็นอาวุธ มีช้างเอราวัณเป็นพาหนะ พระองค์มีมเหสี 4 องค์ คือ สุจิตรา สุธรรมา สุนันทา และสุชาดา พระอินทร์เป็นผู้ดูแลทุกข์สุขของมนุษยโลก ยามใดที่มีเรื่องเดือดร้อนขึ้นบนโลกมนุษย์ อาสนะของพระองค์ที่เคยอ่อนนุ่มก็จะแข็งกระด้าง หรือบางครั้งก็ร้อนจนไม่สามารถประทับอยู่ได้ พระอินทร์มีชื่อเรียกอย่างอื่น เช่น ท้าวสหัสนัยน์ ท้าวโกสีย์ ท้าวสักกะ เทวราช อมรินทร์ ศักรินทร์ มัฆวาน เพชรปาณี เป็นต้น
พูด
๐เมื่อ ๑.มีเรื่องให้พูด ๒.พูดออกไป ๓.หยุดพูด

สมอง
๐ จงใช้สมองที่ใหญ่กว่าหัวใจ
สุรา
ไม่ดื่มเหล้าตลอดชีวิต - ทำให้ประมาท - ขาดสติ - เป็นทางทำให้ทำชั่วอย่างอื่น – เป็นการทำร้ายตัวเอง- เป็นการทำลายทรัพย์สมบัติ (ศีเลนโภคสัมปทา)

ประหยัดค่าไฟฟ้า

๐ วิธีการ -วางแผนการใช้ไฟ -แอร์ ปิดเร็วขึ้น เปิดช้าลง วันเสาร์ อาทิตย์ไม่เปิด (พาลูกไปเดินห้าง) ใช้พัดลมแทน – น้ำอุ่นเปิดเฉพาะให้ลูกอาบ -รีดผ้า รวมรีดทีเดียวใน ๑ สัปดาห์ ไม่รีดทีละตัว เสื้อที่ไม่ยับ กางเกงยีนส์ไม่รีด -หุงข้าว ตอนเช้าเผื่อกลางวัน -ไฟฟ้าดวงไม่ใช้ ปิด ใช้หลอดประหยัด -เลิกใช้รีโมท เปลี่ยนมาใช้การปิดเปิดสวิทซ์โดยตรง -ตู้เย็นล้างทุกสัปดาห์ -ใช้เสร็จ ถอดปลั๊กทันที -ต้นไม้ปลูกบังผนังบ้าน -ใช้ผ้าม่านสีขาวทำให้อากาศเย็นขึ้น -

ประหยัดค่าอาหาร

1.เลือกกินของดี เลือกอาหารสด สะอาด -2. ทำอาหารกินเอง -3. วางแผนมื้ออาหารทุกสัปดาห์ วางแผนอาหารแต่ละมื้อ อย่าซื้อของยามหิว จดโน้ตแปะตู้เย็นเลยว่าภายใน 1 อาทิตย์นี้ฉันจะกินอะไรบ้าง ควบคุมตังค์ได้ด้วย -4. กินง่าย - 5. ผักสวนครัวแสนประหยัด เจียดเวลาปลูกผักริมรั้วบ้าง เช่น พริก กะเพรา โหระพา - 6. เอาข้าวไปกินที่ทำงาน - 7. เก็บคูปองลดราคาไว้กับตัว

หลักทั่วไป

๐ หลัก จำเป็นต้องซื้อหรือไม่ ๐ วิธีการ -ไม่ใช้กระดาษในออฟฟิส -ลดงานเลี้ยงให้เล็กลง -วางแผนค่าใช้จ่ายรายเดือนและรายปี ควบคุมค่าใช้จ่าย โดยทำบัญชีรายรับจ่ายเพื่อ เพื่อที่จะหาทางลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยลงได้ -ใช้จ่ายอย่าให้เกินงบ เก็บใบเสร็จรับเงินหรือจดบันทึกรายจ่ายทุกวัน -ใช้สินค้าและบริการที่ถูกกว่าเดิม
-อย่าซื้อของเพียงเพราะมันกำลังลดราคา -ติดตามข่าวสารการเงินเป็นประจำ

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มงคลชีวิต

มงคลชีวิต๑
ไม่คบคนพาล - คบบัณฑิต - บูชาบุคคลที่ควรบูชา - อยู่ในถิ่นอันสมควร - ทำบุญมากไว้ก่อน - ตั้งตนชอบ - เป็นพหูสูต - รอบรู้ในศิลปะ - มีวินัยที่ดี - มีวาจาอันเป็นสุภาษิต - ดูแลบำรุงบิดามารดา - ดูแลสงเคราะห์บุตร - ดูแลสงเคราะห์ภรรยา (สามี) - ทำการงานไม่ให้คั่งค้าง - ให้ทาน - ปฏิบัติธรรม - ช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติ/พี่น้อง - ทำงานที่ไม่มีโทษ - ละเว้นการทำบาป - สำรวมจากการดื่มน้ำเมา - ไม่ดำรงตนอยู่ในความประมาท - มีความเคารพในบุคคลที่ควรเคารพ - มีความถ่อมตน - มีความสันโดษ - มีความกตัญญู - ฟังธรรมตามกาล - มีความอดทน - เป็นผู้ว่าง่าย - ได้เห็นสมณะ -สนทนาธรรมตามกาล - บำเพ็ญตบะ - ประพฤติพรหมจรรย์ -เห็นอริยสัจ - ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน - มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม - มีจิตไม่เศร้าโศก - มีจิตปราศจากกิเลส - มีจิตเกษม
มงคลชีวิต ๒ (จีน)
อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา อย่าเสวนาคนชั่ว อย่ามั่วอบายมุข อย่าสุกก่อนห่าม อย่าพล่ามก่อนทำ อย่ารำก่อนเพลง อย่าข่มเหงผู้น้อย อย่าคอยแต่ประจบ อย่าคบแต่เศรษฐี อย่าดีแต่ตัว อย่าชั่วแต่คนอื่น อย่าฝ่าฝืนกฎระเบียบ อย่าเอาเปรียบสังคม อย่าชมคนผิด อย่าคิดเอาแต่ได้ อย่าใส่ร้ายคนดี อย่ากล่าววจีมุสา อย่านินทาพระเจ้า อย่าขลาดเขลาเมื่อมีทุกข์ อย่าสุขจนลืมตัว อย่าเกรงกลัวงานหนัก อย่าพิทักษ์พาลชน อย่าลืมตนเมื่อมั่งมี

บทเรียนจากเอเดรียน

ละ - ทิ้งกับดักชีวิต -ขายทิ้งหุ้นและธุรกิจ -ลืมทฤษฎีต่างๆ ให้หมด -อย่าอยู่ในอดีต -ไม่โกรธ ไม่ต้ดสินคนอื่นว่าดีหรือไม่ดี
ปฏิบัติ-  เลิกงาน คือ เลิกงาน / -ยิ้ม หลังตื่นนอน เพราะ ๒๔ ชม.ใหม่สุดอยู่ตรงหน้าแล้ว -ยิ้มให้บ่อยขึ้น /เจริญสติ  พัฒนาจิตวิญญาณ - เรียนรู้ความอ่อนน้อมถ่อมตน /เบิกบานอย่างต่อเนื่อง /ลดการกินเนื้อสัตว์ -

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

gotten gain

A Mexican bandit made a specialty of crossing the Rio Grande from time to time and robbing banks in Texas. The banks offered a reward for his capture, dead or alive, but offered a much larger award for the recovery of the stolen funds. An enterprising Texas Ranger decided to track him down.
After a long and difficult search, he traced the bandit to his home town. On a hunch, he checked the town's cantina, and sure enough, there was the robber. The only other people in the bar were the bartender and a scrawny, older man at a back table. The time was right to make a move.
The ranger drew his revolver, charged into the cantina, and announced, "You are under arrest. I get a reward for you, dead or alive. Tell me where the money is, and I'll let you live. If you don't, I'll shoot you right here, and save myself the trouble of having to take you back to Texas alive."
But the bandit didn't speak English, and the Ranger didn't speak Spanish. As it turned out, the scrawny man at the back of the bar happenedd to be a lawyer. He knew the robber, and was bilingual, and quickly offered to translate for the two of them. The ranger said, "Tell him that if he doesn't tell me where the loot is, I'll shoot him here and now."
Upon hearing what the Ranger had said, and seeing the cold look in his eye, the bandit knew that the Ranger meant it -- if he did not give up his loot, he was a dead man. Terrified, the bandit blurted out in Spanish that the loot was buried in an old barn at the outskirts of town.
"What did he say?" asked the Ranger.
The lawyer answered, "He said 'You don't have the nerve to shoot me, Yankee swine.'"

2+2=?

A businessman was trying to choose a lawyer, but was being very careful about it. He scheduled appointments to interview three lawyers.
At the first lawyer's office, after an initial exchange of pleasantries, the businessman said, "Okay, let's get down to business. I have an important question for you, and I want you to think carefully before answering. How much is two plus two?"
The lawyer raised his eyebrows. "two plus two is four." The businessman thanked him for his time, and proceeded to his next appointment.
The second lawyer, who was also a CPA, seemed a bit more particular than the first lawyer. After an initial discussion, the businessman again announced that he had a very important question, and asked, "How much is two plus two?"
The second lawyer went over to a computer, and entered figures into a spreadsheet. "According to my calculations, two plus two is approximately four." The businessman thanked him for his time, and proceeded to his next appointment.
The third lawyer sat behind a big mahogany desk, and smoked a cigar. He seemed rather self-important as compared to the other two, but at the same time appeared to be much more successful. The businessman again announced, "I would like you to answer a very important question for me, before I decide whether I should use your services. How much is two plus two?"
The lawyer pulled the shades, locked the door to his office, and asked in a hushed voice, "How much do you want it to be?"